วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วันนี้ที่น่าเศร้า...........แต่ฉันมีหวัง


                  
 วันนี้คือวันที่ 20 พฤศจิกายน 2553  เป็นวันที่เราไม่อยากจำที่สุด      
   ในชีวิต เราไม่เข้าใจหลายอย่างๆในชีวิตของคนเรา 
ทำไม.......ต้องมีความรู้สึกรัก โกรธ หลง ชอบ สนุก
ทำไม........ต้องทำตามคนอื่นไม่เข้าใจ
ทำไม......ต้องมีความเจ็บป่วยด้วย
ทำไม.....ต้องมีหัวใจ
v
v
v
v
ไม่เข้าใจ



                          วันนี้อยู่บ้านเหงามากไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย อยู่แต่บ้านใช่ว่าวันนี้จะไม่มีเรื่องดี
                ก็มีน่ะแต่เป็นข่าวอ่ะ น่ะ  ก็คือ Lenka ประกาศข่าว เรื่องอัลบัมใหม่ที่ชื่อว่า Roll With The Punches ว้าว~~~~ มีความสุข อิอิอิอิอิอิ ว่าป่ะ วันนี้ใจดีเลยแจกเพลงให้ฟังกัน



  


                                        
                  

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เพลงจากGlee











เช้าวันใหม่.........กับเรื่องราวมากมาย

              
                
                      วันนี้ไปโรงเรียน.......ด้วยล่ะ ถามว่าเป็นไงก็เหมือนเดิม  ทุกวัน อ่ะน่ะ แต่สิ่งที่เรารู้สึ ต่างออกไปจากเดิม คือ เพื่อนๆที่ห้องรักกันมากขึ้น ไม่เหมือนวันวาน ที่ผ่านมาเพื่อนๆรักกันสุดๆ เราเห็นก็ดีใจมาก
  เริ่มจากเพื่อนที่ ไม่เคยจะเข้ากันได้ (เพราะเราจะโดนแกล้งเป็นประจำ)
เขาก็ทำตัวดีกับเรา พูคกับเราดีขึ้น แบ่งขนมให้ เล่นด้วยกัน ประมาณนั้น
  วันนี้ก็มีงานลอยกระทงด้วยล่ะ >_< แถววันนี่น่ะเพื่อนคนนึ่งของเรานิสัยแย่มาๆ มันโกหกว่ามันแขนหัก มันเป็นแบบนี่ได้3ปี ที่อยู่ด้วยกัน คนที่ทำ
แขนมันหักก็เป็นเพื่อนเราด้วย เราอ่ะสงสารเพื่อนที่คนนี่ จริงๆที่เจอคนตอแหลๆ  เราน่ะไม่ชอบนิสัยมันเท่าไรเลยยยย!!!!!!! อยาจะ*************
(มีเนื้อหารุนแรง)
   ทุกคนเริ่มนับ วันในการจบปีการศึกษา ม.3 เราเองก็ต้องสู้ๆๆๆๆ!!!!!!อย่างแรง ส่งแรงใจด้วยน่ะ ทุกคน
    ท้ายที่สุด เราขอให้ทุกคนที่ กำลังจะเข้าม.1.ม.4.ปี1 สู้ๆน่ะแล้วเข้า ร.ร. ที่อยากเข้าเจอ เพื่อนดีๆ เรียนก็อย่าได้ ติด0 หรือ มผ เลย สาธุ -/\-     


วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

นิยาย : หนุ่มนักศึกษาเกาหลี ( y น่ารักมากๆๆ )





เมื่อประมาณ ๓ เดือนที่แล้ว...
ผมบังเอิญได้รู้จักคนเกาหลีคนหนึ่ง เค้าชื่อยุนซิก 
วันนั้น ผมเข้าร้านขายยา ตั้งใจจะไปซื้อแค่ยาดมหลอดเดียว 
แต่ไปเจอยุนซิก ยืนเถียงด้วยภาษามือ กับคุณป้าเจ้าของร้าน 
ผมยืนรอตั้ง ๓ นาที แต่ทั้งคู่ก็ยังคงคุยกันไม่รู้เรื่องสักที 
ผมจึงตัดสินใจเดินเข้าไป เพื่อช่วยเป็นล่ามภาษาอังกฤษให้ 
สรุปคือ อีตานี่ท้องเสีย แต่เจ้าของร้านดันคิดว่าปวดท้องจุกเสียด

พอผมออกจากร้านขายยา เค้าก็เข้ามาขอบคุณ 
แล้วก็แนะนำตัวว่า...ชื่อยุนซิก(ชื่อพิลึกดี) 
เค้าได้การบ้านวิชา Photography ที่เรียนอยู่ 
แต่ด้วยความที่เค้าชอบการถ่ายรูป และอยากโชว์เพื่อนๆในห้อง...
ว่างานของเค้าต้องไม่ธรรมดา และต้องได้ A ทุกชิ้น
เค้าเลยลงทุนใช้ทั้งเงินเก็บตัวเอง และเงินที่ทางบ้านออกให้ส่วนหนึ่ง 
แล้วก็ Backpack คนเดียว มาถ่ายรูปการบ้านที่ประเทศไทย
ซึ่งเค้าบอกว่าอยากมาตั้งนานแล้ว 

ในใจผมคิดว่า...ไอ้เด็กคนนี้โคตรบ้าดีเดือด ตรงกันข้ามกับหน้าตาเลยนะ
คือเค้าจะออกแนวเคป๊อป เหมือนพวกดงบัง จูเนียร์ อะไรทำนองนี้ 
แต่ความใจกล้าเนี่ย...จาพนมยังต้องยกนิ้วให้ 
ทั้งเนื้อทั้งตัวเค้ามีแค่เป้ใบเดียว กล้องถ่ายรูปแขวนคอ 
ดิกฯสำหรับนักท่องเที่ยว แล้วก็หนังสือนำเที่ยวแค่นั้นเอง 

เค้าบอกว่า มีคนหลายคนเล่าให้เค้าฟังว่า...
คนไทยนิสัยดี ต้อนรับขับสู้คนต่างชาติด้วยไมตรี
และก็เป็น Land of Smile เค้าเลยรู้สึกอบอุ่นใจเป็นพิเศษ
แต่ผมแย้งไปว่าจะชาติไหนๆ มันก็มีทั้งคนดีคนเลวปะปนกันไป 
อย่าทำตัวพเนจรมากนัก เดี๋ยวเจออันตราย 
ยิ่งเค้าเป็นคนต่างชาติตัวคนเดียวด้วย ยิ่งน่าเป็นห่วง 
เค้าก็เปลี่ยนเรื่องคุย คือเค้าดูเป็นเด็กที่ดื้อมาก 
เวลาพูดประเด็นที่เค้าไม่ชอบใจ เค้าจะเบี่ยงประเด็นทันที 
เป็นพวกดื้อตาใสน่ะครับ หน้าเค้าออกหวานๆ ผมซอยทรงบอยแบนด์เกาหลี 
แต่เวลาจ้องตารู้เลยว่า...เป็นคนหัวแข็งทีเดียว!

สุดท้าย ผมเลยให้นามบัตรเค้าไป
แล้วบอกว่าถ้าอยากได้เพื่อนเที่ยว...หรือมีปัญหาก็โทรหาผมได้ 
ถ้าผมไม่ติดงานอยู่ ผมยินดีช่วย และยุนซิกก็โทรมาจริงๆ ในเย็นวันนั้น 
มาชวนไปนั่งกินข้าวเป็นเพื่อน แล้วเค้าก็ขอปรึกษาเรื่องที่พัก...
ว่ามีที่ไหนราคาถูก และสะอาดบ้าง ผมเห็นว่าเค้าเป็นนักศึกษา
ดูๆแล้วท่าทางไม่มีพิษภัย เลยเสนอว่าช่วง ๑ สัปดาห์ ที่เค้าจะอยู่ที่ไทย
เค้าจะพักที่คอนโดฯของผมก็ได้ ผมอยู่คนเดียว...
จะได้เซฟค่าใช้จ่ายได้ส่วนหนึ่ง
แต่มีข้อแม้ว่า...ทุกวัน เค้าจะต้องกลับถึงห้องก่อนเที่ยงคืน!
(เพราะผมมักจะนอนแล้ว และไม่ชอบให้ใครมาเคาะประตูเรียก) 

เค้าดีใจ ยกมือไหว้ แล้วพูดภาษาไทยออกมาเลยว่า...ขอบ-คุณ-ครับ
พูดไม่ชัด แต่เห็นเจตนาเลยว่า...เค้าพูดออกมาจากใจจริง 
แล้วผมก็ให้มือถือเค้ายืม ในระหว่างที่เค้าพักกับผม 
เผื่อมีอะไร...จะได้โทรบอกได้
ช่วงที่อยู่ด้วยกัน ผมคิดว่า...ผมหลงรักยุนซิกไปแล้วแหละครับ 
ไม่เคยเห็นผู้ชายที่ไหน ผิวขาวละเอียดแบบนี้มาก่อน 
หน้าตาเค้าน่ารักด้วยแหละ แต่ก็พยายามข่มใจว่า...
เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต้องวางตัวให้ดูดี สมกับวุฒิภาวะ 

ผมทำงานเอเยนซี่โฆษณา ซึ่งมันก็เป็นงานที่รับผิดชอบสูง...
และหนักหน่วงมากทีเดียว แต่ทุกวัน ผมจะพยายามเคลียร์งานให้เสร็จเร็ว
และทำออกมาให้เนี้ยบที่สุด เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาตามแก้งาน
และทำให้เลิกงานได้เร็วขึ้น จะได้มีเวลาตระเวณขับรถพายุนซิก...
ไปถ่ายรูปทั่วกรุงเทพ ค่ำๆเราสองคนก็กินข้าวด้วยกัน 
ส่วนตอนเที่ยง ถ้าหาเรื่องแวบออกไปได้ ก็ต้องออกไปกินกับยุนซิกทุกครั้ง

เคยอยู่ครั้งหนึ่ง ผมไม่รู้เรื่อง จะพาเค้าไปกินฟูจิ แล้วเค้าหน้าบึ้งเลย
บอกว่าถ้าจะให้เค้ากินที่นี่ เค้ายอมอดตายดีกว่า 
แล้วก็เดินสะบัดหันหลังให้ผม
เดินเข้าห้องน้ำไปเลย ผมก็ตามเข้าไปถามเค้าดีๆว่า...
"What's wrong with you, Yun-Sik?"
ยุนซิกของขึ้นพอดี พูดออกมาทำนองว่า...
ถ้าผมเก่งถึงขนาดทำงาน ในเอเยนซี่โฆษณาได้ 
ก็น่าจะหาหนังสือประวัติศาสตร์เอเชีย ไว้ประดับความรู้รอบตัวซักเล่มนะ 
ไปร้านหนังสือไหม เค้าจะออกตังค์ซื้อให้?

ได้ยินอย่างนี้ ผมก็ของขึ้นเหมือนกัน ถามเค้ากลับไปว่า...
นี่หรือคือกิริยาที่เค้าสมควรใช้ กับคนที่ให้ความช่วยเหลือเค้า?
แล้วผมก็เดินหนี ขับรถกลับออฟฟิศทันที ข้าวท่งข้าวเที่ยงไม่กินมันแล้ว!
วันนั้นทั้งวันเค้าเงียบไปเลย ไม่โทรฯหา 
จนผมกังวลว่า...เค้าจะเป็นอะไรหรือเปล่า?

จนซัก ๒ ทุ่มกว่าๆ เค้าโทรฯหาผม ร้องห่มร้องไห้ คุยไม่รู้เรื่องเลย 
ผมบอกให้เค้าตั้งสติดีๆ ใจเย็นๆ จนเค้าเงียบลง ถึงจะคุยกันรู้เรื่อง 
สรุปก็คือ ตอนนี้เค้าอยู่พัทยา นั่งรถเมล์มาจากเอกมัย เพื่อมาถ่ายรูป
(ทำได้ไงวะ?)
แล้วโดนล้วงกระเป๋า ไม่มีเงินติดตัวซักบาท แต่พาสปอร์ตของเขายังอยู่
เค้าจะเอาไปให้ใครช่วยได้บ้าง? ผมบอกให้เค้าหาป้อมตำรวจนักท่องเที่ยว 
หรือจุดบริการนักท่องเที่ยวอะไรก็ได้ เค้าบอกว่าเค้าเดินมาไกลมากแล้ว 
ไม่เจออะไรที่ว่าเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า...ตอนนี้อยู่ส่วนไหนของพัทยา 
แล้วเค้าก็ร้องห่มร้องไห้อีกรอบ

ตอนนั้น ผมปวดหัวกับเด็กคนนี้มาก อวดเก่ง ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง 
แต่จะให้วางเฉยเสียก็ทำไม่ได้ ก็คนมันรู้จัก...ผูกพันกันแล้วนี่นา
เมื่อก่อนผมเที่ยวพัทยาบ่อย พอจะรู้จักเส้นทางพอสมควร 
เลยบอกให้เค้าหาสถานที่ ที่คิดว่าเป็นจุดเด่นอะไรก็ได้ในพัทยา 
เป็นโรงแรม หรือห้างอะไรก็ได้ ที่คิดว่าไม่เปลี่ยว แล้วนั่งรออยู่ตรงนั้น 


ผมขับรถออกจากกรุงเทพไปพลาง คุยโทรศัพท์เป็นเพื่อนเค้าไปพลาง 
จนเค้าบอกว่า...ตอนนี้อยู่หน้าห้าง ที่มีเครื่องบินปักอยู่ 
ทำให้ผมค่อยรู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย
เด็กคนนี้เก่งแฮะ! เดินมั่วๆไปเจอรอยัล การ์เดนได้ยังไง 
ผมจำทางแถวนั้นได้ด้วย เลยคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร 
แต่ระหว่างทางที่ขับรถไป ประมาณบางประกงได้ ยุนซิกบอกว่า...
แบตฯมือถือเค้ากำลังจะหมดแล้ว จะทำยังไงดี ก่อนที่โทรศัพท์จะตัด?

ผมบอกเค้าว่า...เราคงต้องเชื่อใจกันแล้วล่ะ 
ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เค้าก็ต้องนั่งรอผมอยู่ตรงนั้น 
อย่าเฉไฉนอกจุดนั้นเด็ดขาด!
แม้แค่ ๕ นาทีก็อาจทำให้คลาดกันได้ เค้าจะดื้อแค่ไหนผมไม่รู้...
แต่ครั้งนี้ เค้าต้องฟังผมเท่านั้น! แล้วก็บอกลักษณะว่า...
ต่างคนต่างใส่เสื้อสีอะไรอยู่ จะได้หากันง่ายขึ้น เพราะมันก็ดึกแล้ว
ตกลงกันเสร็จ ยุนซิกรับปากว่าจะนั่งรอตรงนั้น ไม่ไปไหนเด็ดขาด!

ตอนเจอหน้ากัน หน้าห้างรอยัล การ์เดน
เห็นผมเดินใส่เสื้อยืดแดงแปร๊ดมาแต่ไกล ยุนซิกตะโกนสุดเสียง...
เรียกชื่อผม แล้ววิ่งพุ่งเข้ากอดผม ร้องไห้แงๆเหมือนคนบ้าเลย!
คนแถวนั้นผ่านไปมอง เห็นมืดๆ นึกว่าคู่เกย์กอดกันอยู่มั้ง?
ผมทั้งขำ ทั้งโมโห ทั้งโล่งอก แต่ก็ดีใจที่เค้าปลอดภัย 
คืนนั้นเหนื่อยมากครับ ขับรถกลับกรุงเทพฯไม่ไหว 
เลยต้องเปิดโรงแรมนอนที่พัทยา 

คืนนั้น ยุนซิกนอนร้องไห้ทั้งคืน
เค้าพึมพำว่า...คิดถึงบ้าน อยากกลับบ้าน พูดซ้ำไปซ้ำมา 
ผมสอนเค้าไปว่า...เป็นไงล่ะ Land of Smile ในอุดมคติของแก?
บอกแล้วว่าคนมันมีทั้งดีทั้งเลว นี่ถ้าเป็นผู้หญิง ยังมีสิทธิ์โดนฉุดได้อีก 
อย่ามองโลกในแง่ดีจนไปนัก ถือซะว่าเป็นบทเรียนราคาแพง 
ให้จดจำไว้จนวันตายเลยทีเดียว!

จนถึงคืนก่อนที่เค้าจะต้องขึ้นเครื่อง ผมไม่สามารถไปส่งเขาได้
เนื่องจากเวลาที่เขาขึ้นเครื่องวันนั้น ผมต้องทำ Presentation 
ให้ลูกค้าระดับบิ๊ก ซึ่งเป็นที่ทราบกัน ในวงการโฆษณาว่า...
จำเป็นต้องทำงานร่วมกันเป็นระบบ 
ทั้ง Creative, Strategic Planner, AE., ฯลฯ 
ถ้าขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มันจะเดือดร้อนต่อกันเป็นทอดๆ 
อีกอย่าง ผมก็ไม่อยากเอาเรื่องส่วนตัว มาปะปนกับหน้าที่การงาน

คืนวันสุดท้าย ที่ยุนซิกนอนคอนโดฯ
ผมก็บอกเค้าตามตรงว่า...พรุ่งนี้เค้าต้องกลับเอง 
ผมเบิกเงินสดมาจำนวนหนึ่ง ให้เขาใช้ตอนเดินทางจนกลับถึงบ้าน 
แต่เขาต้องไปจัดการ แลกเปลี่ยนสกุลเงินเอง เพราะผมไม่ว่างจริงๆ 
ยังไงตื่นมาถ้าไม่เห็นผม ก่อนออกจากห้อง...ก็ล็อคประตูให้ด้วยแล้วกัน

ตอนนอนอยู่บนเตียง ยุนซิกก็พูดลอยๆขึ้นมาว่า...
เราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วนะ
เค้าไม่มีปัญญามา เที่ยวต่างประเทศบ่อยๆหรอก
ผมก็ถามกลับกวนๆ "So What?" (แล้วไงล่ะแก?)
พอผมถามจบ ยุนซิกก็ขึ้นคร่อมผม เข้ามาไซ้ซอกคอของผม
ผมก็ผลักเขาออกไปเบาๆ ถามว่า...ต้องการอะไรกันแน่?
แต่เค้ากลับตอกกลับได้แทงใจดำยิ่งกว่า...

ยุนซิกถามว่า...ผมต่างหาก ที่ต้องการอะไร?
เค้าบอกว่า...เค้ารู้นะว่าผมเป็นเกย์ 
ผู้ชายที่ไหน...จะให้ความช่วยเหลือ คนแปลกหน้าถึงขนาดนี้ 
เค้ารู้ตั้งแต่ผมให้นามบัตรเค้าแล้วล่ะ ตอนแรกเค้าคิดแค่ขำๆ 
คิดว่าผมคงเต็มใจช่วยเค้านิดๆหน่อยๆ 
และพอถึงวันที่เค้าต้องกลับ ก็คงมีความทรงจำดีๆให้กันแค่นั้น

ตอนที่เค้าหลงอยู่พัทยา แล้วผมขับรถมารับจากกรุงเทพฯ
ไหนจะเรื่องเงินค่าเดินทางกลับบ้านอีก เค้ารู้สึกว่ามันเป็นบุญคุณ...
เกินกว่าที่เค้าจะหามาคืนได้หมด เค้าไม่ใช่เกย์ มีแฟนเป็นผู้หญิงแล้ว 
แต่ถ้าผมต้องการมีอะไรกับเค้า เค้าก็ยินดีทำให้ทุกอย่าง... 
จะให้เค้าเป็นฝ่ายรับเค้าก็ยอม

ผมงี้น้ำตาซึมเลย ไอ้นี่มันเป็นเด็กดีจริงๆ ผมทำเค้าไม่ลงหรอก 
ขอแค่เค้าช่วยนอนกอดผมได้ไหม? ผมไม่ได้นอนกอดใคร 
อยู่คนเดียวแบบนี้มา ๓ ปีแล้ว เราก็นอนกอดกันจนหลับไป 
มันเป็นแค่ความสุขเล็กๆน้อยๆ ของคนตัวคนเดียวอย่างผม 
ส่วนเค้าก็ขอนับผม เป็นพี่ชายต่างสายเลือดอีกคน 
ถ้าเค้ามีอาชีพการงานที่ดี มีเงินเก็บมากพอเมื่อไหร่...
เค้าสัญญาว่า...จะกลับมาเยี่ยมผมอีกครั้งอย่างแน่นอน!

เย็นวันรุ่งขึ้น...
ผมขาย Campaign ต่อหน้าลูกค้าได้ห่วย จากมาตรฐานเดิมที่เคยทำไว้ 
เวลาลูกค้ายิงคำถาม ผมก็ตอบคำถามแบบตะกุกตะกัก 
ดูไม่เป็นมืออาชีพเลย จนรุ่นน้องต้องเข้ามาช่วยรับมือ แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี 
ผมกลับถึงคอนโดฯ อะไรๆที่มันรุงรังก็สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย 
คิดว่ายุนซิกคงทำความสะอาดห้อง เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจ
แล้วก็เห็นกระดานไวท์บอร์ด ที่ผมเอาไว้จดกำหนดงาน 
ยุนซิกเค้าเอาปากกาสีแดง เขียนเป็นตัวอักษรตัวยึกๆยือๆ 
ทิ้งเอาไว้ตัวโตๆว่า...ขอบคุณครับ


มือถือที่ผมให้เค้ายืมใช้ เค้าก็วางคืนไว้ให้
เห็นแค่นั้นก็เจ็บปวดใจมากพอแล้ว แต่พอเปิดลิ้นชักไปเจอยาดม...
หลอดที่ผมไปซื้อจากร้านยา ร้านที่ผมเจอกับเค้าครั้งแรก 
ผมระเบิดต่อมน้ำตาออกมาเลย คุมตัวเองไม่อยู่แล้ว ตอนนั้นทรมานมาก 
คิดว่าทำไมวะ...ทำไม รู้จักกันแค่สัปดาห์เดียว ทำให้ผมบ้าได้ขนาดนี้?
ร้านยาก็มีเยอะแยะ เสือกรนหาที่ไปเข้าร้านนี้ 
ถ้าต้องเจ็บแบบนี้ ไปซื้อร้านอื่นดีกว่า
เป็นห่วงก็เป็นห่วง ไม่รู้เค้าจะกลับถึงบ้านมั้ย? ติดต่อกันก็ไม่ได้ 

ตอนนั้น ผมสติแตกไปเลย เป็น ๑ เดือนที่ทุลักทุเลมาก 
กินเหล้าวันเว้นวัน ออกไปเที่ยวเทค ซึ่งปกติก็ไม่ค่อยชอบไปอยู่แล้ว 
ทำงานมีข้อบกพร่อง จนเจ้านายต้องเรียกไปคุย 
ผมถึงได้สติขึ้นมา เพราะคำสอนจากผู้ใหญ่ 
(บวกกับคำเตือน ในเอเยนซี่ผม มีกฎเหล็กว่าทำงานพลาดในเรื่องเดียวกัน...
ได้ไม่เกิน ๓ ครั้ง มากกว่านั้น...ควรพิจารณาตัวเอง!) 

เวลา และเพื่อนร่วมงาน ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้น 
ตอนนี้ก็ดีขึ้นเยอะแล้วครับ คิดเสียว่า...เราได้มีโอกาสช่วยเค้าเพราะเป็นกรรม
แค่ช่วงหนึ่งที่เคยติดค้างกันไว้ ตั้งแต่ชาติก่อน หมดหนี้แล้วเค้าก็จากไป 
ผ่านไปเกือบ ๓ เดือน เมื่อผมเข้าไปเช็คเมล 
จู่ๆผมก็เจอเมลประหลาด จั่วหัวว่า...
"Hi! Brother Oat, Could you remember me?"

พอเปิดเข้าไปอ่าน ผมแหกปากลั่นออฟฟิศเลยครับ 
ยุนซิกส่งรูปตอนเค้าอยู่มหาวิทยาลัย มาให้ผมดู
เป็นรูปที่ถ่ายเดี่ยวบ้าง ถ่ายร่วมกับเพื่อนๆบ้าง ประมาณ ๒๐ กว่ารูป 
เค้าเอาเมล์ผมมาจากนามบัตร ที่ผมเคยให้เค้าไว้นั่นแหละ 
เค้าบอกว่า...เค้าถึงบ้านตั้งนานแล้ว ขอโทษที่ไม่ได้ส่งข่าว
เพราะตอนเค้ากลับถึงบ้าน พ่อของเค้าต้องผ่าตัดพอดี เรียนก็หนัก...
เลยไม่มีเวลาติดต่อกลับไป ครอบครัวของเค้าฝากขอบคุณผมด้วย 

งานรูปถ่าย...
ที่เค้าทุ่มทุนสร้างมาถ่ายถึงไทย Got A เรียบร้อยแล้วครับ A ด้วยนะ 
แล้ววีรกรรมที่ไปก่อไว้ในไทย กับเรื่องพี่ชายคนใหม่...
ก็เอาไปพูดในวิชา Speech ได้ A เหมือนกัน 
ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดัง และดังนานที่สุดในคลาสนี้ 
เพื่อนผู้หญิงบางคน ถึงกับน้ำตาซึมเลยทีเดียว 
มีแต่คนบอกว่า...อยากไปประเทศไทย 
(อยากโดนล้วงกระเป๋ากันรึไง...ไอ้พวกนี้?) 

ผมดีใจมากๆ ที่ได้รับรู้ความเป็นไปของเค้า 
แม้จะตัดใจได้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า...
การที่ไม่มีโอกาส ได้รับรู้ตัวตนของคนที่เราเป็นห่วงเลยนั้น 
มันทรมานขนาดไหน ยิ่งอยู่คนละแผ่นดินด้วยแล้ว...
ยิ่งเจ็บจนบอกไม่ถูกเลยครับ

ผมก็ติดต่อเค้ากลับไป ได้คุยกันพักหนึ่ง 
แค่ได้รู้ว่า...จากวันที่ผมให้เงินเค้ากลับบ้าน แล้วเค้าถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ
ผมก็ดีใจมากแล้ว ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงอีก

"ขอให้น้องของพี่คนนี้...
ประสบความสำเร็จในชีวิต จบเป็นบัณฑิตไวๆนะ
ทุกอย่างที่พี่ทำให้ พี่ไม่เคยหวังคำสรรเสริญ 
ไม่หวังว่าน้องจะต้องตอบแทน 
พี่ให้เพราะพี่อยากให้ แม้เราจะคนละสายเลือดก็ตาม
"



ยุนซิก น่ารัก >_< !!!!! น่ารักมากกกกกกก สุดๆๆๆๆๆ
ความ รักนี้มันเกิดกับใครก็ได้หมดเลยอ่ะ ชอบ
 ยุนซิก เสีย อย่าง เจ้าชู้ (เด็กๆไม่ควรทำตาม)



วันที่.....ไม่ไปโรงเรียน


           


           

 วันนี้ไม่ได้ ไปโรงเรียนล่ะ เลยได้เวลาเล่นคอมอย่างเมามันส์ และยังได้หาเพลงเพราะมาให้ฟังด้วย ล่ะพวกเธอ ไม่ได้ไปเรียนนี้สบายจริงๆ (เด็กๆอย่าทำตามน่ะจ๊ะ และ สตรีมีคันไปเกาที่อื่น)  แถมวันนี้เจอแต่คนหื่นๆทั้งนั้น - - * เล่น M ที่ไรมีคนขอดูแต่กล้อง คนไม่อยากโชว์โว้ย



วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553


ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจกับหลายคนเลย ว่าที่นี่จะไม่ได้มีแต่เรื่องไร้สาระแต่อย่างใด - - *
   - ถ้าเข้ามาหวังเพื่อจะหาแฟนหนเาตาดีล่ะก็อย่าหวัง
   - ถ้าอายุเกิน 30 ก็ควรทำตัว..........สนุกกับวัยรุ่น ให้คำแนะนำกับวัยรุ่นด้วย น่ะจ๊ะ
   - กรุณาดูหนังหน้าตัวเองเล็กน้อย...........โปรดสวย โปรดหล่อ กันมาก่อน ณ ที่แห่งนี้ มิใช่เมืองผี~~~
   - กรุณา ใช้ภาษาที่สุภาพ........ณ ที่แห่งนี่ ยอมรับภาษาวิบัติได้นิดหน่อย เช่น ดี,คับ,ค่ะ, เท่านี่พอ
   - ส่วนใหญ่ใน ณ ที่แห่งนี่ จะมีแต่ปัญหาวัยรุ่นเป็นส่วนใหญ่ส่วน เพราะเจ้าของอายุ15จะ16ปี  เรื่อง พี่ๆ(ป้า,ลุง) อาจจะพอพูคคุยได้บ้าง
   - ถ้าไม่จริงใจ หรือ ตอแหล ควรอย่าเข้ามาใกล้ๆ ณ ที่แห่งนี่
   - และจงจำไว้ด้วยอายุเจ้า้ของแค่ 15 จะ 16 ยังไม่ใช่ พี่ หรือ ลุง.ป้า T^T~~~
กราบขอบคุณที่เข้ามาดูมาก!!!!!!!T^T




วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

มนุษย์ต่างดาว กับ คนจากอนาคต หรือ เรื่องโกหก

หลายวันที่ผ่านๆมาอย่างช้าๆ หลายข่าวที่เขามาในหัวทำคิดอะไรไม่เป็นตกเลย 
มีอยู่ข้าวหนึ่งที่เป็นที่น่าสนใจคือ "มนุษย์แห่งกาลเวลา" หรือีกอย่างคือ "คนจากโลกอานาคต"
เรื่องมีอยู่ว่า 
เดือน กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พิพิธภัณฑ์ Bralorne Pioneer Museum ได้แสดงนิทรรศการภาพถ่าย เล่าเรื่องราวเหตุการณ์ในอดีตผ่านทางภาพถ่ายโดยหนึ่งในภาพถ่ายนั้นเป็นภาพกลุ่มคนมุงดูเหตุการณ์น้ำท่วมในปี 1941  



ท่าม กลางฝูงชนในภาพ มีชายคนหนึ่งแต่งกายผิดแผกแตกต่างไปจากผู้คนในยุคสมัยนั้น โดยเขามีทรงผมล้ำสมัย สวมแว่นตาดำ ใส่เสื้อยืดสวมเสื้อแจ๊กเกตทับ อันเป็นแฟชั่นในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่เมื่อ 70 ปีก่อน แต่ที่สำคัญกว่าการแต่งกายคือชายคนนี้ถือกล้องถ่ายรูปพกพาที่ยังไม่ผลิตออก จำหน่ายในสมัยนั้น
ภาพ ถ่ายใบนี้เป็นภาพถ่ายโบราณของพิพิธภัณฑ์ Bralorne Pioneer Museum ไม่ใช่ภาพถ่ายทั่วๆไปที่คนมือบอนจะนำตบแต่งด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์กราฟิคได้พิสูจน์แล้วว่าภาพนี้เป็นภาพ ถ่ายจริงที่ไม่ผ่านการตบแต่ง มันจึงถูกกล่าวขานว่าเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่พิสูจน์ว่ามีคนจากอนาคตเดินทาง ย้อนเวลามาสู่อดีตจริง

ภาพ ถ่ายภาพนี้จึงกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ใน สังคมอินเทอร์เน็ตตั้งแต่กลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา หลายคนพยายามสืบค้นว่าบุคคลแปลกปลอมในภาพถ่ายเป็นใคร มาจากไหน ในขณะเดียวกันผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องการเดินทางย้อนเวลาก็พยายามหาข้อมูลมาหัก ล้าง ซึ่งผลการดีเบตระหว่างคน 2 ฝ่ายนี้จะเป็นอย่างไรเราก็ต้องคอยติดตามข่าวกันต่อไป 



แล้วก่อนหน้านี้ก็เกิดเรื่องอย่างนี้อีก

เดือน มกราคม 2003 หนังสือพิมพ์วีคลีย์เวิลด์ด์นิวส์ (Weekly World News) ตีพิมพ์ข่าวเจ้าหน้าที่ FBI บุกจับกุมตัวแอนดรูว์ คาร์ลส์ซิน (Andrew Carlssin) วัย 44 ปี ในข้อหานำข้อมูลลับภายในไปแสวงหาผลประโยชน์ในตลาดหลักทรัพย์


สำนักงานคณะกรรมการ กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (Security and Exchange Commission) ได้แจ้งความดำเนินคดีกับนายแอนดรูว์ โดยสงสัยว่าเขานำข้อมูลลับของบริษัทมหาชนต่างๆในตลาดหลักทรัพย์ไปแสวงหาผล ประโยชน์ให้กับตนเอง เพราะแอนดรูว์สร้างความร่ำรวยในเวลาเพียงชั่วพริบตาด้วยการลงทุนเพียง 800 ดอลลาร์ซื้อหุ้นต่างๆแล้วขายออกไป นำเงินที่ได้กลับมาซื้อหุ้นตัวใหม่แล้วทำชอร์ตเซลขายออกไปอีกครั้ง ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนเงินทุนเริ่มต้น 800 ดอลลาร์เพิ่มพูนขึ้นเป็น 350 ล้านดอลลาร์ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น

แอ นดรูว์รับสารภาพโดย ให้การว่าเขามีข้อมูลว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้นในช่วงเวลานั้น เพราะเขามาจากโลกอนาคตในปี 2556 เขาเพียงศึกษาประวัติศาสตร์ข้อมูลทางเศรษฐกิจ นำความรู้ที่ได้ติดตัวเดินทางย้อนอดีตมาในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อช้อนซื้อ หุ้น

เดิมทีนั้นเขาตั้งใจจะลงทุนแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต หากแต่ความโลภทำให้เขาหักห้ามใจไม่อยู่ เทเงินที่หามาได้ในช่วงแรกๆลงทุนซื้อหุ้นที่เขารู้อยู่แล้วว่ามันจะมีราคา สูงขึ้น จนกระทั่งไปสะดุดตาเจ้าหน้าที่สำนักงาน ก.ล.ต.
หายตัวอย่างลึกลับ

แอ นดรูว์หายตัวไปอย่างลึกลับระหว่างที่ตำรวจควบ คุมตัวขึ้นศาลพร้อมกับข่าวคราวการจับกุมตัวเขา ไม่มีสื่อใดๆเสนอข่าวนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามไปยังสำนักงาน ก.ล.ต. และ FBI เจ้าหน้าที่ทุกคนล้วน


ปี 2006 แอนดรูว์โผล่ออกมาให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์วีคลีย์เวิลด์ด์นิวส์อีกครั้ง เขาไม่ยอมเปิดเผยว่าสามารถเล็ดลอดจากการควบคุมตัวมาได้อย่างไร โดยบอกแต่เพียงว่าตอนนี้เขาทำงานบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแห่งหนึ่งใน แคนาดา

เช่นเคย เขาใช้ข้อมูลที่เป็นประวัติศาสตร์ในยุคสมัยเขาล่วงรู้ว่า “ทรายน้ำมัน” (Tar Sands) เป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่จะมาทดแทนบ่อน้ำมันตามที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะทรายน้ำมันอัลเบอร์ตา (Alberta Tar Sands) ของประเทศแคนาดาเพียงแห่งเดียว สามารถผลิตน้ำมันได้มากถึง 3 แสนล้านบาร์เรล 

ถ้าเราเอา นี้มานับรวมกับมนุษย์ต่าดาวด้วยแล้วล่ะก็


ปกติมักจะเป็นที่ร่ำลือกันบ่อย ๆ ในต่างประเทศ แต่ก็ใช่ว่าในเมืองไทยเราจะไม่มีการกล่าวอ้างว่าได้ “เห็น” สิ่งมีชีวิตที่เชื่อว่ามาจากนอกโลก หรือที่เรียกกันว่า “มนุษย์ต่างดาว”

“...รูปร่างคล้ายคนแคระ ไม่สวมเสื้อผ้า ระบุเพศไม่ได้ สูงประมาณ 70 ซม. ผิวสีน้ำตาลเทา ศีรษะมนกลมโต ตาโตสีน้ำตาลเป็นมันวาว ไม่มีจมูก ปากบางเล็ก หน้าอกแบนราบ ลักษณะร่างกายไม่กลมมนเหมือนมนุษย์ ถ้ามองจากด้านข้างจะแบนราบ...”

...นี่คือลักษณะคร่าว ๆ ของสิ่งที่เชื่อว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว ที่มีคนอ้างว่าพบเห็นในเมืองไทยล่าสุด ที่ทุ่งนาพื้นที่บ้านห้วยน้ำราก หมู่ 5 ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย เมื่อเช้าวันที่ 3 ก.ย. 2548 หลังจากที่คืนวันที่ 2 ก.ย. มีการกล่าวอ้างว่าพบเห็นลูกไฟลึกลับตกพุ่งลงมาจากฟ้าในบริเวณดังกล่าว !?!

ไม่ใช่แค่คนเดียวที่อ้างว่าเห็น...แต่เป็นสิบคน ไม่ใช่การอ้างว่าเห็นในระยะไกล...แต่ใกล้แค่ประมาณ 10 เมตร และไม่ใช่อ้างว่าเห็นแค่บนพื้นดินแวบเดียวแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย...แต่เห็นวนเวียนในท้องนาเหมือนหาอะไรอยู่เป็นชั่วโมง ก่อนจะค่อย ๆ ลอยตัวสูงขึ้นจากพื้นดินไปอยู่เหนือยอดไม้สูงประมาณ 10 เมตร จากนั้นก็หยุดแล้วหันหน้ามองลงมายังกลุ่มคนที่อ้างว่าเห็น ก่อนจะพุ่งลิ่วขึ้นสู่ท้องฟ้าหายลับตาไป ?!?

อีกครั้ง...ที่มีการร่ำลือว่า “มนุษย์ต่างดาว” โผล่ในไทย
คราวนี้เรื่องราวชวนให้ฮือฮา...ทั้งยังโผล่ในนาข้าว !?!

เรื่องราวเกี่ยวกับ “มนุษย์ต่างดาว” นั้น เป็นเรื่องชวนให้สนใจของผู้คนทั่วโลก...รวมถึงคนไทยจำนวนไม่น้อย ซึ่งในเมืองไทยเราก็มีบุคคลระดับ “นักวิชาการ” ให้ความสนใจ และบางคนก็ระบุว่า “เคยเห็น” หรือเคยติด ต่อกับมนุษย์ต่างดาวทาง “จิต” หรือจากการฝึกทำ “สมาธิ”

เมื่อเดือน มิ.ย. ปี 2540 เคยมีการจัดสัมมนาเรื่อง “มนุษย์ต่างดาว” ซึ่งเป็นครั้งแรกในเมืองไทย และในการสัมมนาถึงกับมีการระบุว่า...มนุษย์ต่างดาวจะ “บุกโลก” ในอีก 25 ปี หรือในปี 2565 โดยมีการวางแผนแบ่งกำลังกันบุกเป็นโซน ๆ ของโลก ทั้งแถบทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป และรวมถึงทวีปเอเชีย

“...14 ครั้งที่ผมเคยเห็น จานบิน มีลักษณะแตกต่างกันไปบ้าง มีอยู่ครั้งเดียวที่เห็นเป็นจานกลม ๆ ที่สวิตเซอร์แลนด์ นอกนั้นจะอยู่ไกลซึ่งมองเห็นไม่ชัดด้วยตาเปล่า

ยกเว้นที่ จ.ขอนแก่น ผมเห็นลักษณะเหมือนไข่สีส้ม ๆ มีแสงสว่างของมันเอง วิ่งไปช้า ๆ แต่ที่แปลกก็คือ มันมีแสงสว่างเล็กๆ 5 ดวงวิ่งไปวิ่งมารอบ ๆ รูปไข่ที่กำลังวิ่งไป แสงนั้นเป็นแสงสีขาว ๆ เหลือง ๆ ไม่เหมือนยานแม่รูปไข่

นอกนั้นผมจะเห็นแสงสว่างเหมือนดาวมากกว่า คือเล็กมาก วิ่งในลักษณะไม่เหมือนกับดาว เพราะวิ่งมาด้วยความเร็วสูงแล้วก็เปลี่ยนทิศทางเป็นมุมฉาก 90 องศา โดยไม่มีการโค้งหรือช้าลงเลย...”

...นี่เป็นข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีการระบุว่าเป็นคำกล่าวตอนหนึ่งในงานสัมมนาครั้งแรกเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้ทรงคุณวุฒิในวงการวิทยาศาสตร์ของไทย ซึ่งเคยร่วมโครงการสำคัญ ๆ กับทางนาซา หรือองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งสหรัฐ

มีจานบินหรือ “ยูเอฟโอ (UFO)” ก็ต้องมีมนุษย์ต่างดาว ?!?

นักวิชาการอีกคนหนึ่งซึ่งให้ความสนใจเรื่อง “มนุษย์ต่างดาว” มาก คือ ศ.ดร.น.พ.เทพนม เมืองแมน ประธานอำนวยการฝ่ายสถาบันวิทยา ศาสตร์ทางจิต ซึ่ง ศ.ดร.เทพนมได้เคยระบุไว้ว่า...เคยติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวทาง “โทรจิต” หรือการทำสมาธิหลายครั้ง และว่าในต่างประเทศก็มีการทำกันอยู่

ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาชาติ ครั้งที่ 9 เมื่อปลายปี 2547 ศ.ดร.เทพนมระบุไว้ว่า... เคยได้รับการติดต่อจากมนุษย์ต่างดาวว่าเคยมาที่เมืองไทยตั้งแต่เมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว และพบหลักฐานปรากฏอยู่ในถ้ำบนยอดเขาที่ จ.กาญจนบุรี เป็นภาพที่วาดโดยมนุษย์ถ้ำ ประมาณ 100 กว่าภาพ เป็นภาพ “มนุษย์ต่างดาวตากลมโต” ซึ่งทางกรมศิลปากรเอาหินในถ้ำไปตรวจก็พบว่ามีอายุประมาณ 5,000 ปี

ที่ จ.เชียงใหม่ ก็มีการระบุว่าจานบินของมนุษย์ต่างดาวเคยมาตกเมื่อต้นปี 2541 ถึงขั้นสหรัฐส่งทีมมาสำรวจ...แต่ไม่พบ อย่างไรก็ตาม ศ.ดร. เทพนมบอกไว้ว่าได้ไปลองหาจนเจออยู่ในเขตป่าสงวนฯ !?!

ไม่เท่านั้น...ยังมีการระบุว่าตอนที่ทางนาซามาประชุมในไทยที่มหาวิทยาลัยฯสุรนารี จ.นครราชสีมา ครั้งนั้นก็มีจานบินมาปรากฏ ซึ่งถ้าเป็นเช่นที่ว่ามาจริง ๆ ก็หมายถึง “มนุษย์ต่างดาว” มาเมืองไทยบ่อย ?!?

นอกเหนือจากเรื่องราว “มนุษย์ต่างดาว” ที่เคยถ่ายทอดไว้ ซึ่งมีทั้งที่ระบุว่าเป็นประสบการณ์และรับทราบจากผู้อื่น ศ.ดร.เทพนมยังเคยบอกไว้ด้วยว่า...ในต่างประเทศแบ่งมนุษย์ต่างดาวเป็น 6 กลุ่มตามรูปร่างลักษณะคือ... 
1.เหมือนมนุษย์, 
2.คล้ายมนุษย์...แต่ผิวหนังเป็นสีเทา, 
3.คล้ายสัตว์, 
4.คล้ายหุ่นยนต์,
 5.รูปร่างประหลาด,
6.คล้ายผี ซึ่งที่ว่ามาป้วนเปี้ยนในนาข้าวที่เชียงรายเหมือนหาของที่ทำตก...ไม่รู้กลุ่มไหน ??


สรุป มนุษย์ต่างดาวคือคนจากอนาคต 
 จานบินที่เราเห็นรูปก็เครื่องย้อนเวลานั้นเอง มีผู้มากหลายที่บอกตนเองว่าเป็นผู้ติดต่อกับจาบิน มนุษย์ดาว เราเรียกคนพวกนั้นว่าผู้ส่งสาร มาเตือนคนจากอดีต เพื่อจะได้เปลี่ยนแปลงอนาคต ของพวกเขา
 คนจากอนาคต ก็ คือมนุษย์ต่างดาวนั้นเอง แต่ ต่างกันคนล่ะช่วงเวลา

หรือ เรื่องทั้งหมดที่ กล่าวมาจะเป็นเพียงเรื่องโกหกจากนาซาทั้งสิ้น
  ลองมาคิดดูเล่นๆน่ะที่เขาปล่อยเรื่องพวกนี้ออกมาก็เพราะจะให้มีการทำจรวดเพื่อการค้าขาย เพราะว่า
นาซาต้องการเงินของรัฐบาลอยู่นั้นเอง ล่ัััะ

เรื่องที่ว่ามานั้นทั้งหมดเป็นเรื่องที่เราคิดและเขียนในความเข้าใจของเราเอง